โนโรไวรัสเป็นไวรัสที่รู้จักกันมานาน เป็นสาเหตุของอาการท้องเสียเฉียบพลันที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่พบได้บ่อยที่สุด ซึ่งมักจะระบาดในช่วงฤดูหนาว การติดเชื้อสามารถพบได้ในทุกเพศ และทุกช่วงอายุ
ทำความรู้จักโนโรไวรัส
โนโรไวรัส (Norovirus) เป็นไวรัสขนาดเล็กชนิดหนึ่งมีรูปร่างคล้ายถ้วย ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการอักเสบของกระเพาะและลำไส้ ซึ่งพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในเด็ก เนื่องจากเด็กยังไม่ระมัดระวังในเรื่องของการรักษาความสะอาดต่าง ๆ จึงทำให้พบการระบาดของโรคโนโรไวรัสในเด็กได้บ่อย ๆ การติดเชื้อไวรัสชนิดนี้มักพบได้บ่อยในฤดูหนาว และมักพบในโรงเรียน โรงแรม หรือในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน
โนโรไวรัสเป็นไวรัสที่เป็นปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสียในเด็ก โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ทำให้มีอาการท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียนรุนแรง ยิ่งหากภูมิต้านทานต่ำอาการอาจหนักและร้ายแรงจนเสียชีวิตได้ และเนื่องจากพบมากในเด็กซึ่งยังเป็นวัยที่ไม่รู้จักการป้องกันการติดเชื้อ หรือการรักษาความสะอาดอย่างเหมาะสม จึงทำให้มักพบการระบาดอย่างรวดเร็วในโรงเรียนหรือในสถานรับเลี้ยงเด็ก
โนโรไวรัสเป็นไวรัสที่ติดต่อได้ง่าย การได้รับเชื้อเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้เกิดโรคและมีอาการรุนแรงได้ นอกจากนี้ยังเป็นไวรัสที่ทนต่ออุณภูมิ คือสามารถทนได้ทั้งความเย็นและความร้อน และสามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานอีกด้วย
อาการเมื่อติดเชื้อโนโรไวรัส
เชื้อโนโรไวรัสจะมีระยะฟักตัวประมาณ 12 - 48 ชั่วโมง หลังได้รับเชื้อ โดยจะมีอาการ ได้แก่
- คลื่นไส้ อาเจียนอย่างรุนแรง
- ถ่ายเหลวเป็นน้ำ
- ปวดท้อง
- ปวดศีรษะ
- มีไข้ต่ำ ๆ หรืออาจมีไข้สูงได้ในบางราย
- อ่อนเพลีย
- ปวดเมื่อยตามตัว
- หากมีการเสียน้ำมาก ๆ อาจมีอาการช็อกได้
การระบาดและการติดต่อของโนโรไวรัส
เชื้อโนโรไวรัสมักจะมีการระบาดในฤดูหนาว มักพบการระบาดในสถานที่ที่มีคนหนาแน่น และคนพลุกพล่าน เช่น ในโรงเรียน โรงแรม หรือแม้แต่ในโรงพยาบาล โดยเชื้อโนโรไวรัสนี้จะสามารถอยู่ในร่างกายผู้ป่วยได้นานเป็นสัปดาห์ อีกทั้งจะยังสามารถตรวจพบเชื้อโนโรไวรัสได้ในอุจจาระของผู้ป่วยได้แม้ว่าจะไม่มีอาการของโรคแล้วก็ตาม
เชื้อโนโรไวรัสสามารถติดต่อได้ง่าย แพร่ระบาดได้เร็ว การได้รับเชื้อเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้มีอาการได้ โดยการติดต่อสามารถติดต่อได้หลายทาง ได้แก่
- การได้รับเชื้อผ่านทางการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อโนโรไวรัส เช่น น้ำดื่ม น้ำแข็ง ผลไม้และผักสด และหอยนางรม เป็นต้น
- มีการสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ
- การสัมผัสหรือปนเปื้อนอุจจาระ หรืออาเจียนของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ
- การสัมผัสพื้นผิวที่มีเชื้อโนโรไวรัสปนเปื้อนอยู่
- ในเด็ก อาจมีการจับหรือสัมผัสกับสิ่งของที่มีเชื้อแล้วเอานิ้วเข้าปาก
การฆ่าเชื้อโนโรไวรัส
เนื่องจากเชื้อโนโรไวรัสเป็นเชื้อที่ทนต่อความร้อนและความเย็น ทนต่อสารฆ่าเชื้อหลาย ๆ ชนิด สามารถอยู่บนพื้นผิวได้นาน ดังนั้นจึงถือว่าเป็นเชื้อที่ทำลายได้ยากชนิดหนึ่ง การใช้แอกอฮอล์เจลไม่สามารถฆ่าเชื้อชนิดนี้ได้
ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention; CDC) มีการแนะนำให้ใช้สารฟอกขาว หรือโซเดียมไฮโปคลอไรท์ (sodium hypochlorite) และสารเคมีชนิดอื่นในการฆ่าเชื้อโนโรไวรัสที่ปนเปื้อนอยู่บนพื้นผิวต่าง ๆ แต่ปัญหาหนึ่งของการใช้โซเดียมไฮโปคลอไรท์คือ มีกลิ่นฉุนค่อนข้างรุนแรงและระคายเคืองต่อผิวหนัง การใช้สารในกลุ่มไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (hydrogen peroxide) จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการฆ่าเชื้อโนโรไวรัส
และปัจจุบันมีการพัฒนาคุณภาพสารฆ่าเชื้อในกลุ่มไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ ให้อยู่ในรูปของ Accelerated Hydrogen Peroxide-based (AHP) ที่มีประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อโรคโนโรไวรัสได้ดีขึ้น
การป้องกันการติดเชื้อโนโรไวรัส
ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนหรือยาที่รักษาและป้องกันเชื้อโนโรไวรัสได้โดยเฉพาะ และเจลแอลกอฮอล์ก็ไม่สามารถฆ่าเชื้อชนิดนี้ได้ ดังนั้นวิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือการรักษาความสะอาดและสุขอนามัยรอบตัว ซึ่งทำได้โดย
- ล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาดเป็นประจำหลังเข้าห้องน้ำ และหลังเปลี่ยนผ้าอ้อม
- ล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาดเป็นประจำ ก่อนและหลังรับประทานอาหารหรือประกอบอาหาร
- ล้างผักและผลไม้สดให้สะอาดก่อนรับประทาน
- ผู้ป่วยที่ติดเชื้อโนโรไวรัสควรงดการประกอบอาหาร
- ทำความสะอาดพื้นผิวที่สงสัยว่าอาจปนเปื้อนเชื้อโนโรไวรัสด้วยน้ำยาทำความสะอาดที่เหมาะสม
- เด็กที่ป่วยด้วยโนโรไวรัสควรหยุดเรียนเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ จนกว่าอาการจะดีขึ้นแล้วอย่างน้อย 48 ชั่วโมง