การป้องกันการระบาดของโรค
ไวรัสคางทูม

Thumbnail Thumbnail

โรคคางทูมเป็นโรคติดต่อในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสคางทูมภายในทางเดินหายใจส่วนบน ผู้ที่ติดเชื้อคางทูมมักจะมีอาการขากรรไกรบวมและกระพุ้งแก้มบวม ซึ่งเป็นอาการเฉพาะของโรคนี้และมีสาเหตุมาจากการบวมของต่อมน้ำลาย (ต่อมน้ำลายอักเสบ) อาการบวมดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นบนใบหน้าฝั่งใดฝั่งหนึ่งหรือทั้งสองฝั่ง ไวรัสคางทูมเป็นไวรัสขนาดใหญ่ที่มีเปลือกชั้นนอกหุ้ม และจัดอยู่ในวงศ์พารามิกโซไวรัส (Paramyxovirus)

 

เชื้อไวรัสชนิดนี้มีการแพร่กระจายหลักผ่านทางน้ำลายหรือมูกจากปาก จมูก หรือลำคอของผู้ติดเชื้อ ไวรัสจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนอยู่ภายในทางเดินหายใจส่วนบนและต่อมน้ำเหลือง จากนั้น แพร่กระจายผ่านทางการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่งของระบบทางเดินหายใจหรือน้ำลาย หรือผ่านทางการสัมผัสโดยอ้อมกับพื้นผิวที่ปนเปื้อนเชื้อ

 

ในอดีต การติดโรคคางทูมถือเป็นเรื่องค่อนข้างปกติ แต่หลังจากเริ่มมีวัคซีนในปี 1967 จำนวนผู้ป่วยโรคนี้ในประเทศพัฒนาแล้วจึงได้ลดลงอย่างมาก โดยในสหรัฐอเมริกา ตัวเลขผู้ป่วยมักจะไม่เกิน 500 รายต่อปี แต่อาจมีบางปีที่ตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นเป็นหลายพันราย โดยทั่วไปแล้ว จะมีการฉีดวัคซีน MMR (Measles, Mumps, Rubella) สำหรับป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมันให้แก่เด็กอายุต่ำกว่าหกปีโดยแบ่งเป็น 2 โดส ซึ่งวัคซีนนี้มีประสิทธิภาพการป้องกันโรคอยู่ที่ 88%

 

การแพร่ระบาดของโรคคางทูมสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงของแต่ละปี แต่ส่วนใหญ่แล้ว มักจะมีการระบาดในช่วงฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ การสัมผัสบุคคลอื่นอย่างใกล้ชิดสามารถเพิ่มความเสี่ยงของผู้ติดเชื้อในการแพร่เชื้อไวรัสไปยังผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันได้ ข้อมูลจนถึงปัจจุบันพบว่า โรคคางทูมเป็นโรคที่ไม่สามารถติดต่อจากคนสู่สัตว์หรือจากสัตว์สู่คนได้