เอนเทอโรไวรัส เป็นไวรัสในวงศ์พิคอร์นาวิริเด (Picornaviridae) ซึ่งรวมถึงโปลิโอไวรัส คอกแซคกีไวรัส เอคโคไวรัส และไรโนไวรัส เอนเทอโรไวรัสมักจะถูกตรวจพบได้บ่อยในสารคัดหลั่งของระบบทางเดินหายใจ (มูก น้ำลาย เสมหะ) และอุจจาระของผู้ติดเชื้อ ในอดีตนั้น โรคโปลิโอถือเป็นโรคสำคัญที่เกิดจากการติดเชื้อเอนเทอโรไวรัส แต่ในปัจจุบัน โครงการฉีดวัคซีนป้องกันโปลิโอไวรัสทั่วโลกสามารถลดอัตราความชุกของโรคโปลิโอลงได้อย่างมาก เอนเทอโรไวรัสที่ไม่ใช่โปลิโอมีอัตราการกลายพันธุ์สูง โดยมีเอนเทอโรไวรัสที่ไม่ใช่โปลิโอมากกว่า 60 สายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหวัดธรรมดา โรคอัมพาตแบบกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียก โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ โรคตาแดง และโรคมือ เท้า ปาก
ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) ประเมินว่า ในสหรัฐอเมริกา มีกรณีการติดเชื้อเอนเทอโรไวรัสที่ไม่ใช่โปลิโอประมาณ 10-15 ล้านรายในแต่ละปี โดยส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง เอนเทอโรไวรัสที่ไม่ใช่โปลิโอสามารถติดเชื้อได้ในคนทุกวัย แต่ทารก เด็ก และวัยรุ่นจะมีโอกาสติดเชื้อและเกิดอาการเจ็บป่วยได้ง่ายกว่า โดยเมื่อเด็กเติบโตขึ้น การรับสัมผัสเอนเทอโรไวรัสที่ไม่ใช่โปลิโอจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายพัฒนาภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันการติดเชื้อในอนาคต
การระบาดของเชื้อเอนเทอโรไวรัส 68 ในมนุษย์ (ชื่อย่อ EV-68, HEV-68 หรือ EV-D68) เมื่อปี 2014 ในสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้สังคมหันมาสนใจกับการติดเชื้อเอนเทอโรไวรัสมากขึ้น ไวรัส EV-68 ถูกพบเป็นครั้งแรกในรัฐแคลิฟอร์เนียในปี 1962 ถึงแม้ไวรัสชนิดนี้จะพบได้ยาก แต่กลับมีการพบบ่อยครั้งขึ้นในปัจจุบัน รวมไปถึงการระบาดครั้งล่าสุดในสหรัฐอเมริกา ไวรัส EV-68 ก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจในเด็กเป็นหลักเช่นเดียวกับเอนเทอโรไวรัสชนิดอื่นๆ แต่จุดที่แตกต่างออกไปคือ ไวรัส EV-68 นั้นมีลักษณะทางระบาดวิทยาและชีววิทยาเหมือนกันกับไรโนไวรัสในมนุษย์
โดยทั่วไปแล้ว การติดเชื้อเอนเทอโรไวรัสจะมีอาการไม่รุนแรง และส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการใดๆ เมื่อติดเชื้อ อาจมีอาการคล้ายหวัดไม่รุนแรง อาการป่วยทั่วไปและไข้ มักจะเป็นเป็นอาการที่พบได้บ่อยจากการติดเชื้อเอนเทอโรไวรัส อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี เอนเทอโรไวรัสอาจโจมตีระบบประสาทส่วนกลาง และก่อให้เกิดภาวะอัมพาต หรือแม้แต่เสียชีวิตได้ เด็กที่มีโรคหอบหืดหรือผู้ที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอมักจะมีความเสี่ยงมากขึ้นต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือการเจ็บป่วยรุนแรง